http://www.http://takuyak.igetweb.com
สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com 
 หน้าแรก  ตะกู  บทความ  เว็บบอร์ด  รวมรูปภาพ
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   
« April 2024»
SMTWTFS
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930    
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 23/05/2008
ปรับปรุง 13/01/2023
สถิติผู้เข้าชม5,781,913
Page Views7,095,895
สินค้าทั้งหมด 5
Menu
หน้าแรก
บทความ
เว็บบอร์ด
รวมรูปภาพ
โลกร้อน หายนะมวลมนุษยชาติ
มิติธรรมชาติ
เศรษฐพอเพียง
สักทองพืชทำเงินที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาล
"ต้นยางนา" พืชสร้างเงินที่ไม่ธรรมดา
"ไม้ยูคาลิปตัส"ความต้องการใช้ที่มีอย่างต่อเนื่อง
ไม้พยุง ไม้เงินล้านวันนี้ราคาพุ่งแรงแซงไม่หยุด
เปิดคลังไอเดียพืชทำเงิน
ราคาทอง
ราคาน้ำมัน
พยากรณ์อากาศ
ตรวจผลสลากกินแบ่งรัฐบาล
กรมส่งเสริมการเกษตร
กรมวิชาการเกษตร
ทีวีผ่านเน็ต
ศูนย์รวมสมุนไพรทุกชนิด
เพื่อนบ้านทั้งหมด
 

ตื่น "คาร์บอน เครดิต" โอกาส "ร้อนๆ" ของไทย

ตื่น “คาร์บอน เครดิต” โอกาส "ร้อนๆ" ของไทย

หลังจากพิธีสารเกียวโตผ่านพ้น “คาร์บอนเครดิต” ก็กลายเป็น “สินค้า” (Commodity) สุดฮอทที่สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือกันสร้างมูลค่าได้อย่างไม่น่าเชื่อ

เนื่องจากประเทศที่พัฒนา (Annex1) แล้ว เช่น ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ตามพิธีสารเกียวโต ที่กำหนดให้ประเทศที่พัฒนาแล้วต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างน้อย 5.2% ภายในปี 2555 จึงจำเป็นต้องซื้อคาร์บอนเครดิตจากประเทศที่พัฒนาแล้ว เพื่อมาหักกลบกับปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาสู่บรรยากาศ
เพราะหากไม่สามารถดำเนินการได้ทัน จะถูกปรับตันคาร์บอน (แปลงหน่วยการคำนวณก๊าซเรือนกระจกต่างๆ เป็นคาร์บอนไดออกไซด์) ละ 100 ยูโร ซึ่งมากกว่าราคารับซื้อคาร์บอน เครดิต ปัจจุบัน ที่ราคาตลาดอยู่ที่ 20 ยูโร ต่อตันคาร์บอน
แม้แต่ประเทศไทยยังตื่นเต้นกับสินค้า หรือตลาดใหม่นี้ เพราะนี่คือ โอกาสทางธุรกิจรูปแบบใหม่ที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน (กรีน บิสซิเนส) รวมไปถึงโครงการขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจค) อย่างโครงการรถไฟฟ้า

ที่สำคัญนี่เป็นอีกช่องทางที่ช่วยลดภาระทางการเงินสำหรับโครงการขนาดใหญ่ได้
ในส่วนของประเทศไทย และประเทศกำลังพัฒนาอื่น นอกเหนือภาคผนวกที่ 1 (non-Annex I ) แม้จะไม่ได้ถูกจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายใต้พิธีสารเกียวโตภายในระยะเวลาและปริมาณที่กำหนดไว้ แต่ก็สามารถร่วมดำเนินโครงการในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้โดยสมัครใจตามแต่ศักยภาพของประเทศ ส่งผลให้ตลาดค้า คาร์บอน เครดิต ในประเทศกำลังพัฒนา มีความเคลื่อนไหว “คึกคัก” ขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในอินเดีย บราซิล เม็กซิโก และจีน โดยมีสหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา เป็นผู้ซื้อรายใหญ่
โดยโครงการที่เกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา และสามารถพิสูจน์ได้ว่าลดก๊าซเรือนกระจกได้จริง จะได้รับเครดิตที่เรียกว่า Certified Emission Reductions (CERs) จากการดำเนินงานตามกลไกการพัฒนาที่สะอาด(Clean Development Mechanism: CDM)

ตัวอย่างโครงการ CDM ได้แก่ โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานน้ำ ลม แสงอาทิตย์ หรือชีวมวล สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เนื่องจากสามารถลดการผลิตไฟฟ้าจากแหล่งอื่นที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้

โครงการการปรับปรุงกระบวนการบำบัดน้ำเสียหรือบ่อขยะ เพื่อให้สามารถกักเก็บและทำลายก๊าซมีเทน สามารถลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากระบบเดิมที่เป็นบ่อผึ่งหรือกองขยะที่มีการปลดปล่อย ก๊าซมีเทนขึ้นสู่บรรยากาศโดยตรง เมื่อมีการดำเนินโครงการ CDM ก็จะมีการกักเก็บก๊าซมีเทนและนำไปผลิตกระแสไฟฟ้า

เมื่อพิจารณาจากประเภทโครงการเหล่านี้ จะเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทย ซึ่งอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติดังกล่าว

ทั้งนี้คณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2550 เห็นชอบ โครงการ CDM จำนวน 7 โครงการ (ก่อนที่จะตั้งองค์กรบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก)  และมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พิจารณาอย่างเร่งด่วน 
ซึ่งทั้ง 7 โครงการสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 1.2 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 181 เมกะวัตต์ ได้แก่...

โครงการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล (Biomass)

1.โครงการ Dan Change Bio-Energy Cogeneration Project ผลิตไฟฟ้าจาก กากอ้อย และใบอ้อย ตั้งอยู่ที่ จ. สุพรรณบุรี 2.โครงการ Phu Khieo Bio-Energy Cogeneration Project ผลิตไฟฟ้าจาก กากอ้อย และ ใบอ้อย ตั้งอยู่ที่ จ. ชัยภูมิ
3.โครงการ A.T.Biopower Rice Husk Power Project ผลิตไฟฟ้าจากแกลบ ตั้งอยู่ที่ จ. พิจิตร
4.โครงการ Khon Kaen Sugar Power Plant Project ผลิตไฟฟ้าจากกากอ้อย ตั้งอยู่ที่ จ. ขอนแก่น
5.โครงการ Rubber Wood Residue Power Plant in Yala, Thailand ผลิตไฟฟ้าจากเศษไม้ยางพารา ตั้งอยู่ที่ จ. ยะลา

โครงการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ (Biogas)
6.โครงการ Korat Waste to Energy Project, Thailand ผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพที่ได้จากน้ำเสียโรงงานแป้งมัน ตั้งอยู่ที่ จ. นครราชสีมา
7.โครงการ Ratchaburi Farms Biogas Project ผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพที่ได้จากน้ำเสีย ฟาร์มสุกร ตั้งอยู่ที่ จ.ราชบุรี ในจำนวนนี้มีเพียงบริษัท เอ.ที.ไบโอพาวเวอร์ จำกัด  เท่านั้น เป็นบริษัทไทยแรกและบริษัทเดียวในประเทศไทยขณะนี้ ที่ได้รับการรับรอง CDM  จาก UNFCC  คิดเป็นปริมาณคาร์บอนเครดิต จำนวน 100,678 ตัน (เพิ่งจัดการแถลงข่าวไปเมื่อวันที่  26 มิถุนายน 2551 )

โดยขายคาร์บอนเครดิตให้กับบริษัท Chubu Electric Power จากญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของบริษัทเอ.ที ไบโอพาวเวอร์  ซึ่งเป็นความประสงค์ของบริษัท Chubu ฯ แต่แรกเริ่มที่จะซื้อคาร์บอนเครดิตจาก เอ.ที ไบโอพาวเวอร์ แสดงให้เห็นถึงรูปแบบการเข้ามาซื้อคาร์บอนเครดิต นอกจากจะเข้ามาซื้อโดยผ่านเทรดเดอร์แล้ว ยังรุกเข้ามาร่วมทุนจากบริษัทที่จะขายเครดิตคาร์บอน เป็นเรื่องเป็นราว เลยทีเดียว  โดยรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิต จะเข้ามาช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทฯที่ประสบปัญหาต้นทุนการผลิตสูง จากราคาแกลบและราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น

“การขายคาร์บอนเครดิต จะช่วยกระตุ้นผู้ประกอบการให้กล้าตัดสินใจลงทุน เพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อม เพราะจะมีรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตเข้ามาชดเชยสภาพคล่องของบริษัท“ นที สิทธิประศาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอ.ที ไบโอพาวเวอร์ ระบุ และว่า

นอกจากเพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อมแล้ว บริษัทยังให้ความสำคัญกับการดูแลชุมชนรอบโรงไฟฟ้า โดยมอบเงินสนับสนุนปีละกว่า 1 ล้านบาทเข้าสมทบในกองทุนพัฒนาชุมชนรอบโรงไฟฟ้า และตั้งกองทุนประกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมอีก 5 ล้านบาท เพื่อให้โรงไฟฟ้าอยู่ร่วมกับชุมชนได้ยั่งยืน

สำหรับโครงการที่ได้รับรองโครงการ CDM จากองค์กรบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์กรมหาชน) แล้วจำนวน 30 โครงการ จากจำนวน 59 โครงการที่เสนอขอใบรับรอง
ศิริธัญญ์ ไพโรจน์บริบูรณ์ ผู้อำนวยการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) บอกว่า สิ้นปีนี้ คาดว่าจะมีผู้ประกอบการยื่นเสนอขายคาร์บอนเครดิตไม่ต่ำกว่า 90 โครงการ ปริมาณคาร์บอน 4 ล้านตัน โดยปัจจุบันมี 30 โครงการที่ผ่านการพิจารณาแล้ว คิดเป็น 2.13 ล้านตัน และโครงการรอพิจารณา คิดเป็นจำนวนคาร์บอน 1.4 ล้านตัน

ศิริธัญญ์ ยังตั้งข้อสังเกตว่า 30 โครงการที่ผ่านการพิจารณา ส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดกลางและใหญ่

ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณา เกือบทั้งหมดจะเป็นโครงการขนาดเล็ก ซึ่งจะมีอุปสรรคในการดำเนินการเพราะบริษัทเหล่านี้จะมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามขั้นตอน (ไม่รวมเงินลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพโรงงาน) เป็นเงินถึง 6-10 ล้านบาทต่อหนึ่งโครงการ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการตรวจประเมิน เนื่องจากบริษัทตรวจประเมินโครงการดังกล่าวในไทยมีน้อยราย ทำให้โครงการเล็กๆเหล่านี้ต้องรวมตัวกันเพื่อร่วมกันดำเนินการเพื่อลดค่าใช้จ่าย

นอกจากนี้ยังพบว่า ขณะนี้มีคอร์เปอเรทจากต่างประเทศ เริ่มเข้ามาซื้อคาร์บอนเครดิต จากบริษัทไทยที่อยู่ระหว่างขอคาร์บอน เครดิต เพราะต้องการสร้างภาพลักษณ์ในการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม (ซีเอสอาร์) โดยไม่จำเป็นต้องรอให้บริษัทเหล่านี้ได้รับการรับรองการซื้อขายคาร์บอน เครดิต จาก UNFCC ก่อน   

โดย กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ความคิดเห็น

  1. 1
    24/06/2019 00:50

    มันเป็นโครงการคนรวย ไม่รวยทำไม่ได้ เขาส่งเสริมภาคธุรกิจ แต่ไม่ส่งเสริมภาคประชาชน

  2. 2
    ชาวสวนยาง
    ชาวสวนยาง 17/05/2012 13:55

    ส่วนท้องถิ่น(อบต.) ควรประชาสัมพันธ์ แนะนำ และขั้นตอนการขออนุญาติ ให้เกษตรกรได้ดีที่สุด

  3. 3
    pratuang
    pratuang eapluscom@gmail.com 28/12/2011 22:10
    การขาย Carbon credit ผมว่าทำไมกระทรวงเกษตร ไม่เห็นช่วยชาวสวนยางขาย carbon credit ด้วย ทั้งๆประเทศไทยปลูกยางทั่วประเทศ หลายล้านไร่ แต่ละปีที่ยางเติบโต จะช่วยดูดเอา CO2 มาช่วยให้ต้นยางเติบโต หลายล้าน MT of CO2  และยางพาราที่ได้นำไปทดแทน ยางเทียมที่ทำมาจากน้ำมันดิบที่เป็นเชื้อเพลิงดึกดำบรรพ์ ต้นยางพาราไม่ได้ทำลายสิ่งแวดล้อม เกษตรกร ขายน้ำยาง (Latex) ให้พ่อค้า รัฐได้เงินภาษีจากการยางพารา และรัฐได้ดุลการค้าจากการส่งออกยางพารา
    เมื่อต้นยางพาราอายุ 30ปี เมื่อโค่นต้นยางและปลูกยางใหม่  เนื้อไม้ยางพาราที่โค่น ที่เป็น carbon จะแปลรูปไปอยู่ใน Furniture อย่างน้อย 7ปี ก่อนน้ำไปทำเป็นเชื้อเพลิง หรืออื่นๆ
    สิ่งที่คนไทยว่า การผลิตพลังงานจากเชื้อเพิลงทดแทน เช่น น้ำ ลม และเชื้อเพลิงจากไม้ ถึงจะเป็น CDM Project  แต่ไม่มีใครคิดถึงเกษตรกรไทยที่จะช่วยเขา ขาย Cabon credit  จากการปลูกยางพาราเลย ผมอยากให้ผู้รู้เรื่องทำ CDM Project เกี่ยวกับการปลูกต้นยางลองมาทำเรื่องนี้ดู เผื่ออาจจะขาย carbon credit นี้นำเงินเข้ามาช่วยเกษตรกรไทย ให้พัฒนาพันธ์ยางพารา ที่ดีกว่าปัจจุบัน 
  4. 4
    เบญ
    เบญ varinthon_bla@hotmail.com 27/01/2011 11:57

    แล้วโครงการนี้จะเสร็จสมบูรณ์อย่างไร และเมื่อไหร่  ไม่เห็นรัฐบาลนำมาพูดให้ประชาชนทั่วไปฟังเลย อยากรู้จัง

  5. 5
    rod
    rod pumuen@gmail.com 28/11/2010 23:11

    ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะ ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) เป็นปัญหาใหญ่ของโลกเราในปัจจุบัน

  6. 6
    แอน
    แอน an.bulin@hotmail.com 05/06/2010 14:00

    น่าสนใจมากๆ ถ้าเป็นประชาชนธรรมดาจะทำอย่างไรได้บ้างกับ
    โครงการนี้ค่ะ

แสดงความคิดเห็น

* *

 

*

 
 หน้าแรก  ตะกู  บทความ  เว็บบอร์ด  รวมรูปภาพ
view