หลายปีกับการเดินทางส่งต้นไม้
มากมายหลายหลากต้นที่ส่งไปปลูก
กว่า100,000กิโลเมตรที่เดินทาง
นับร้อยพันมิตรภาพที่พบเจอ
ทุกพื้นที่แสนอบอุ่น
นับล้านคำที่สนทนา
กำลังใจและรอยยิ้มที่มีให้
บันทึกความประทับใจถ่ายทอดผ่านคีย์บอร์ดและหน้าจอ
บทที่1
ปฐมบทของ..คนส่งต้นไม้.
..ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาโลกเราได้รับผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน..การทำการเกษตรหลายชนิดได้รับผลกระทบ..ปรากฎการณ์ใหม่ๆหลายต่อหลายอย่างมีให้เห็นในช่วงเวลาแห่งชีวิตคนเรา..สิ่งที่เราไม่เคยได้เห็นเราก็ได้เห็น สิ่งที่เราไม่เคบได้พบเราก็ได้พบ..จาการเดินทางนับแสนกิโลเมตรของการใช้ชีวิตคนส่งต้นไม้นับล้านต้นที่ถูกส่งไปสร้างสีเขียวให้กับผืนโลก การเดินทางเริ่มต้นตลอดเวลา..เสียงโทรศัพท์ที่สอบถามเข้ามา..เสียงโทรศัพท์ที่สั่งจองต้นไม้เข้ามา หลายร้อยหลายพันคำถามที่จากหลายๆสายที่สอบถามเข้ามา มันเป็นเหมือนยาชูกำลังให้มีกำลังใจที่เข็มแข็งที่จะนำเผ่าพันธุ์ของมวลไม้ไปยังจุดหมายที่ต้องการ..
เมื่อวันหนึ่งของชีวิตมาถึงจุดเปลี่ยน....ปกติผมมีอาชีพที่มั่นคงระดับหนึ่ง ตามบทวิถีของคนไทยคนหนึ่งที่ประกอบอาชีพสุจริต ด้วยความพอเพียงตามแนวทางที่ควรจะเป็น ปกติผมรักและหลงใหลในงานศิลปะ มุมมองและแนวคิดของผมคิดว่ามันทำให้เราพออยู่ได้ในสังคมภูธร เช้าตื่นขึ้นมาเราก็ไปทำงาน เย็นก็กลับบ้านเสาร์อาทิตย์ก็หยุด มีความสุขเล็กๆอยู่กับครอบครัว มันเป็นอย่างนี้อยู่ตลอดเวลาหลายสิบปี บางทีมันก็น่าจะเพียงพอ แต่ลิขิตแห่งชีวิตได้ถูกเขียนไว้ เส้นทางเดินมันต้องเริ่มต้น ข้างบ้านผมเป็นร้านขายต้นไม้ทุกชนิด ต้นตะกูยักษ์เป็นไม้ที่เป็นตัวหลักของร้านขายต้นไม้แห่งนี้
หลายวัน..หลายเดือน..นานนับปี..ผมได้แต่มองดูเขาเพาะพันธุ์ ซื้อขายพันธุ์
ไม้ชนิดต่างๆ จนกระทั้งวันหนึ่งเจ้าของร้านต้นไม้แห่งนี้ที่หลายๆคนเรียกเขาว่าอาจารย์แต่ผมไม่ได้คิดที่จะสอบถามปูมหลังเขาหรอกนะ ผมคิดว่าโดยมารยาทไม่ต้องไปสนใจสอบถามเรื่องส่วนตัวของเขาดีกว่า บุคลิกเขาเป็นคนพูดจาเสียงดัง ได้มาชวนพูดคุยเรื่องราวของพันธุ์ไม้และแนะนำให้ลองมาศึกษาเรื่องพันธุ์ดู การเริ่มต้นเริ่มที่ละเล็กทีละน้อย ข้อมูล ตำรับตำราเกี่ยวกับพันธุ์ไม้ชนิดต่างๆ ก็ได้รับความอนุเคราะห์จากเจ้าของร้านแห่งนี้บ้าง แต่ด้วยที่เขาเป็นคนเสียงดังเวลาที่คุยกับลูกค้า ผมก็เกรงใจไม่กล้ารบกวนเขามาก โดยเฉพาะที่ต้นตะกูยักษ์กำลังดังและเป็นที่นิยมของลูกค้าลูกค้าเขามีมาก เขาก็มีเวลาให้เราสอบถามได้น้อย ผมจึงต้องออกเดินเสาะหาตำราจากที่ต่างๆ สอบถามจากผู้รู้บ้าง ออกไปหาข้อมูลจากของจริงในสวนป่าชนิดต่างๆเอาเอง
จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี การสั่งสมเพิ่มเป็นทวีคูณทั้งที่พื้นเพเดิมไม่มีความรู้เรื่องต้นไม้เลย...เวลาที่ผ่านไปการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงทำให้ความชำนาญเกิดขึ้น สั่งสม และตกผลึกโดยไม่รู้ตัว..ขณะเดียวกันเครือข่ายก็เพิ่มขึ้น ...เหตุเพราะว่าพันธุ์ไม้แต่ละชนิดมีแหล่งเพาะพันธุ์อยู่คนละที่คนละแหล่งกันบางครั้งอยู่คนละจังหวัดกันเลยที่เดียว
การที่มีต้นไม้และพันธุ์ไม้อยู่คนละที่คนละแห่งคนละจังหวัดนี่เอง การเดินทางจึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เป็นปัจจัยหนึ่งของการก้าวสู่การเป็นคนเดินทางส่งพันธุ์ไม้
การที่ได้ติดต่อพูดคุยสนทนากับร้านขายต้นข้างบ้าน ทำให้ต้องกลับมานั่งคิดว่านี่ก็น่าจะลองขายต้นไม้ดู แต่พอมาพินิจพิเคราะห์ดูองค์ประกอบของการทำธุรกิจค้าต้นไม้ อุปสรรคที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของทุนและสถานที่รวมทั้งทำเลที่จะตั้งร้านขายต้นไม้...”จะทำได้ไหมเนี่ย!” คุณเชื่อไหมแค่คิดก็ท้อแล้วทุนก็ไม่มี สถานที่ทำร้านก็ไม่มี คนงานก็ไม่มี..เอ..แล้วจะทำไงดีล่ะที่สำคัญรถก็ไม่มีที่จะขนส่ง กลับมานั่งคิดทบทวนหลายรอบจะล้มเลิกก็ใช่ที่ ซึมซับอะไรต่อมิอะไรเกี่ยวกับต้นไม้ไว้เยอะ น่าเสียดายนะถ้าไม่นำไปทำให้เกิดประโยชน์..
บทที่2
วันเริ่มต้นคนส่งต้นไม้
ผมแวะเวียนไปพูดคุยกับพี่อาจารย์เจ้าของร้านข้างบ้านหลายรอบ ความอยากมันก็เกิดขึ้น ทำไงดีหนอเราจะได้มีกิจการขายต้นไม้ดูบ้าง..ไม่ต้องเอาใหญ่โตหรอก..เล็กๆก็ได้..
วันหนึ่ง...ของเดือนเมษายนผมจำได้ไม่เคยลืม เจ้าของร้านขายต้นไม้ข้างบ้านแห่งนี้ถามผมว่า “คุณไก่..ลองเอาเม็ดตะกูยักษ์ไปขายดูไหม?..มีคนต้องการเยอะนะ”..เอาละสิประตูคนขายต้นไม้เปิดแล้ว “มาเอาไปขายก่อนก็ได้นะ..ผมส่งให้ในราคาทุน..ขายได้แล้วค่อยเอาทุนมาให้ผมแล้วเอากำไรไป”..ถ้าจะตอบว่าไม่เอามันก็ไม่ใช่คำตอบที่ผมมี
ในใจ มาเลยย..ลองดู
วันนั้นผมรับเอาเมล็ดพันธ์ตะกูยักษ์มาจำนวนหนึ่งไม่มาก..เมื่อได้มาแล้วก็จัดแจง
ชั่งแบ่งใส่ถุงเล็กๆ จำได้ว่า หลายถุงเหมือนกัน...แต่ละถุงมีอยู่หลายพันเมล็ด แต่ถ้าเพาะเป็นต้นตะกูยักษ์ก็ได้หลายพันต้นอยู่เหมือนกัน..คุณเชื่อไหม?ก้าวแรกของการเป็นพ่อค้ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย..หนึ่งวันผ่านไป หนึ่งเดือนผ่านไป...พกไปพกมา พรีเซนต์ขายจนเจ็บคอ .....”ขายไม่ได้เลย”คือคำตอบ…“แล้วเราจะไปขายให้ใคร(ว่ะ)”…พี่เจ้าของร้านเขาก็เหล่แล้วละ..เมื่อไหร่มันจะเอาทุนมาคืนเนี่ย.!..(คิดเองนะ..ดูจากสายตา)...หลังจากที่ไปทำงานก็พกไปด้วย ไปไหนก็พกไปด้วยอยู่หลายวัน..คิดไม่ออกเลยแล้วใครจะมาซื้อเราว่ะ...
“พี่ครับ..ผมยังขายเมล็ดไม่ได้เลย” “พี่เอาคืนไปก่อนนะถ้ามีคนมาซื้อผมจะมาเอาไป”..ทำไงได้ความท้อแท้มันเกิดแล้วนี่ “ โอ๊ย..! ทำไม่ไม่ลองไปขายในเน็ดดูบ้างล่ะ..เผื่อจะมีคนรู้จักมันบ้างอาจขายได้นะ”พี่เขาสวนคำตอบกลับมา...เอาก็เอาวะลองดูอีกที คราวนี้ใช้ตัวช่วยดูที่ซิ..ขายทางเน็ต ช่ายย..ขายทางเน็ต
หลังจากวันนั้นผมก็ใช้เซิร์ทเอ็นจิ้น ค้นหาข้อมูลการซื้อขายต้นตะกูยักษ์ คุณเชื่อไหม กูลเกิล หาข้อมูลมาให้ได้เพียงหน้าเดียวเท่านั้น และในหน้าเดียวนั้นมีแค่3-4ข้อมูลเท่านั้น....ตัดสินใจเลยโพสไว้กับ3-4ข้อมูล3-4 เวบไซต์ นั่นแหละ”ขายเมล็ดพันธุ์ตะกูยักษ์พันธุ์ดี สายพันธุ์ก้านแดง สนใจติดต่อคุณไก่ 081-2839267” ข้อความนี้นี่แหละที่โพสไว้เป็นครั้งแรก ผมไม่ได้คาดหวังหรอกนะว่าจะขายได้ คิดเสียว่าขายได้ก็ดี ขายไม่ได้ก็ไม่เป็นไร(ท้อแล้ว.)
จำได้ว่าวันนั้นผมโพสไว้ครั้งแรกประมาณ9โมงเช้า..สองชั่วโมงให้หลังใกล้ๆเที่ยง โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น..การสนทนาก็จะเป็นการสอบถามเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับต้นตะกูยักษ์..เข้าทางเลย!...ข้อมูลที่เก็บไว้ในสมองมันแน่เปรี๊ย.อยู่แล้ว.!คำตอบจึงพรั่งพรูอย่างฉะฉานจากปาก....พร้อมกับการเกิดขึ้นของออร์เดอร์แรกของชีวิตการขายพันธุ์ไม้.. สายที่สอง..สายที่3..สายที่4ที่5ที่6ที่7ก็ตามมาติดๆในวันแรกนั้นเอง
หลังเลิกงาน..พกความดีใจกลับบ้าน...เราขายได้เหรอเนี่ย..ไม่อยากเชื่อเลยโทรศัพท์ก็ยังดังเข้ามาเป็นระยะๆ..ออร์เดอร์เข้ามาบ้าง..สอบถามข้อมูลบ้าง....ข้อมูลรายชื่อลูกค้าที่สั่งเข้ามาผมจดบันทึกไว้ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นรายที่สอบถามเข้ามารวมทั้งรายชื่อลูกค้าที่ออร์เดอร์ทั้งจังหวัดที่ลูกค้าอยู่เบอร์โทรและข้อมูลปลีกย่อยอย่างละเอียด ออร์เดอร์วันแรกผมทำยอดขายได้ถึงx,xxxบาท.หักลบกลบทุนก็เหลือพอสมควร....ผมยอมรับนะครับว่ามันตื่นเต้นมาก...
เย็นวันนั้นหลังจากกินข้าวกินปลาเสร็จ..ก็จัดการแพ็คบรรจุเมล็ดพันธุ์ลงซองแยกรายชื่อพร้อมที่จะส่งในเช้าวันรุ่งขึ้น....พอทำเสร็จก็มานั่งพิจารณาไปพิจารณามา...ให้ตายเถอะแพ็คลงซองแล้วทำไมซองเมล็ดพันธุ์ของเรามันขี้เหร่จัง(ว่ะ)โลว์เกรดจัง....มันน่าจะมีอะไรที่ทำให้ดูดีซักกะหน่อยจะดีไหม?....เอาวะก็ของมันขายได้แล้วนี่...เสียเวลาอดนอนซักคืนจะเป็นไรไป...คืนนั้นก็ลงมือจัดทำข้อมูลวิธีการเพาะเมล็ดทุกแง่มุมเท่าที่ได้โดยให้กระชับเข้าใจง่าย และมอบหน้าที่ให้เครื่องปริ๊นเก่าๆที่มีพิมพ์ออกมา....จากนั้นก็แกะเอาซองบรรจุพันธุ์ที่แพ็คแล้วมาแพ็คใหม่พร้อมข้อมูลคำแนะนำวิธีการเพาะแนบไปด้วยสำหรับใช้ส่งให้ลูกค้า...5ทุ่มกว่าๆจึงแล้วเสร็จ....จากนั้นจึงถ่อกายแบกหมอนซ่อนตาดำเข้านอนในคืนนั้นเอง.......
จากเมล็ดสู่เวบไซต์
ยามเช้าในฤดูร้อนที่สดใส(เฉพาะตอนเช้า..บ่ายนะเหรอร้อนตับแทบแลบ..อิอิ)หลังจากถ่อกายจากที่นอนอันแสนสุข ก็พาตัวไปทำธุระสำคัญของตัวเองที่ต้องทำทุกเช้า
จากนั้นก็เตรียมตัวไปทำงานตามปกติ ออกจากบ้านไปได้สัก2กิโล..อ้าว..ตายล่ะลืมของสำคัญ..จะอะไรซะอีกล่ะ..ก็เมล็ดต้นตะกูยักษ์ที่แยกแพ็คไว้ตั้งแต่เมื่อคืนนะซิ ให้ตายเถอะโรบิ้น..ลืมซะสนิทเลย ต้องเลี้ยวรถ(มอเตอไซด์คู่ชีพ)กลับมาเอาไป
เจ็ดโมงครึ่งเข้าไปเซ็นชื่อลงเวลาทำงานเสร็จสรรพ ดูงานที่จะต้องทำในวันนั้นเรียบร้อยก็คว้ารถดิ่งไปที่ไปรษณีย์ ได้บัตรคิวลำดับแรกๆ พอถึงคิว ก็ส่งยื่นซองบรรจุเมล็ดพันธุ์ที่เขียนชื่อลูกค้าที่ออร์เดอร์ให้เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ พร้อมบอกวัตถุประสงค์ว่าจะขอส่งพอ กอ งอ (พ.ก.ง.)พัสดุเก็บเงินปลายทาง ในชีวิตไม่เคยส่งแบบนี้เลยก็เป็นครั้งแรก..เขียนผิดเขียนถูก..เจ้าหน้าที่ก็ดี๊ดีแนะนำทุกอย่าง ก็คนมันไม่เคยส่งนี่....มันก็เป็นธรรมดาที่อะไรที่ทำในครั้งแรกๆมันก็เปิ่นๆเป็นธรรมดา
เหมือนเรายังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ...ออร์เดอร์มีทุกวันเฉพาะเมล็ดบางวันก็มากบางวันก็น้อย ส่วนใหญโทรศัพท์จะดังถี่มากในช่วงก่อนเที่ยงเรื่อยไปจนบ่ายจนค่ำ
กิจกรรมทุกวันต้องไปที่ไปรษณีย์ จนเจ้าหน้าที่คุ้นเคยกัน ชนิดที่พอมาส่งของแทบไม่ต้องบอกรายละเอียดกันเลย เป็นอันว่ารู้กัน
ผมยอมรับว่า...ธนาณัติที่ถูกส่งกลับมา สำหรับออร์แรก ผมตื่นเต้นมากถึงแม้มันจะเป็นเงินเล็กน้อยสำหรับใครบางคน แต่มันยิ่งใหญ่สำหรับผมมากนะ “ เราเป็นนักขายแล้วหรือนี่” ผมถามตัวเอง
ยังมั๊ง.?.”มันน่าจะมีอะไรที่น่าสนุกกว่านี้นะ”.......”ใช่เลย”..การขายมันเป็นเพียงการเริ่มต้นก้าวแรกเท่านั้น..เทคนิคการขายมันเป็นเพียงการเริ่มต้น...การก้าวสู่โลกอีคอมเมิร์ช กับการฝากโพสข้อความไว้ตามเวบบอร์ดต่างๆมันยังไม่เพียงพอสำหรับการเป็นนักขายบนโลกไซเบอร์ ทุกวันผมต้องเข้าไปดูตามเวบต่างๆ รวมทั้งเข้าไปดูตามเซิร์ทเอนจิ้นต่างๆ “ทำยังไง..เราจะเข้าไปอยู่ในหน้าหนึ่งหรือหน้าแรกๆของกูเกิล สนุก หรือยาฮู ได้นะ”ถ้าเราเข้าไปอยู่ในจุดนั้นได้เราคงจะมีออร์เดอร์เข้ามาเยอะเป็นแน่เลย
“แล้วจะเริ่มต้นอย่างไรดีล่ะ? “ คำถามนี่มันก้องอยูในโสตประสาทของผม การค้นหาจุดเริ่มต้นเกิดขึ้นนับแต่นั้น...
เพื่อนผมคนนึงในที่ทำงานเขาเป็นคนที่ให้คำตอบเกี่ยวกับอีคอมเมิร์ชได้ดีมาก แต่
การที่เราจะไปพิรี้พิไรถามเขาบ่อยๆก็ไม่ใช่มารยาทที่ควรทำ...ผมอาศัยเวลาที่เขาเดินผ่านห้องทำงานผมก็จะดักยิงคำถามเรื่องของเน็ตเกือบทุกวันถ้าทำได้....อันที่จริงแล้วผมเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์มากนักหรอกครับ...ก็ได้เพื่อนคนนี้นี่แหละที่ช่วยตอบคำถามและเป็นที่ปรึกษาให้ผมเป็นอย่างดี “คุณบอย”พิทยา แพทยรัตน์ ชื่อนี้ที่เปรียบเสมือนเป็นอาจารย์ของผม...
แรกเริ่มเดิมที่ผมก็พยายามสร้างหน้าโฮมเพจแบบงูๆปลาๆกะว่าจะเอาไปโพสหรือเอาไปใช้ในฟร๊โฮสติ้ง..แต่พอทำไปได้สักพักก็ต้องล้มเลิก..มันไม่ประสบผลสำเร็จเลย ทดลองใช้คำค้นกับเซิร์จเอ็นจิ้น ดังๆอย่างกูเกิลในไม่เวิร์คเลย หาข้อมูลประกาศขายสินค้าของเราไม่พบเจอเลย....ครั้นจะมานั้งโพสตามเวบต่างๆมันไม่เพียงพอแน่นอน แล้วจะทำไงดีละเรา?..
เมล็ดพันธุ์ก็ขายได้เรื่อยๆจากโพสเดิมๆ แต่พอนานไปกระทู้ที่เขียนไว้มันก็ถอยไปเรื่อยๆเพราะกระทู้ที่อัพเดทกว่าก็เข้ามาแทนที่....
การขายของได้มันเป็นเรื่องสนุกนะ แต่..การที่จะขายให้ได้ดีตลอดมันต้องทำยังไง
คิดไปคิดมาก็ตัดใจใช้โฮสต์เช่าและจดโดเมนเนมส์ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยเป็นไงเป็นกัน ได้ไม่ได้ จะขายดีไม่ดีก็ว่ากันอีกที่..ตัดสินใจอยู่หลายวันเลยทีเดียว..อีกอย่างกระแสตะกูยักษ์ก็ค่อนข้างแรงมาก..หน้าของเซิร์ทเอ็นจิ้นอย่างกูลเกิลก็เพิ่มขึ้นทุกวัน ซี่งนั้นมันเป็นเครื่องบ่งบอกสัญญาณอะไรบางอย่างว่า การแข่งขันทางด้านการขายมันเริ่มต้นขึ้นแล้ว แรงซะด้วย...!
http://www.takuyak.com เป็นชื่อที่ถูกเลือกใช้ จริงๆแล้วมีหลายชื่อ
ที่ถูกนำมาคัดสรร คิดแล้วคิดอีกหลายรอบ เหลือที่น่าจะใช้ทำมาหากินได้ก็ชื่อนี้แหละ หลังจากได้ชื่อแล้วก็ค้นหาจากเซิร์ทเอ็นจิ้น ในส่วนของบริษัทที่ทำธุรกิจโฮสต์เช่าในที่สุดก็ได้ ของ igetweb.com บริษัทนี้น่าสนใจมาก อีกทั้งมีบริการเสริมอีกมากมาย
ตัดสินใจเป็นแน่วแน่ ก็คว้าโทรศัพท์ติดต่อสอบถามไปยังบริษัท คำถามถูกส่งออกไปเป็นชุด เพื่อให้ได้ความกระจ่างให้มากที่สุด ตัดสินใจแล้วนี่ พอได้คำตอบสุดท้ายก็ตกลงใช้บริการ พร้อมจดโดเมนเนมส์ takuyak.com นับแต่นั้น
บทที่4
ก้าวแรกบนถนนสายอีคอมเมิร์ช
นับแต่วันที่ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ที่จะก้าวลงไปบนถนนสายอีคอมเมิร์ช ความมั่นใจของผมน่ะเหรอ..บอกได้เลย..!ว่าลังเลใจมาก " จะอะไรซะอีกล่ะ" ประสบการณ์ก็ไม่มี ที่พอรู้ก็แบบงูๆปลาๆ..สารภาพจากใจจริงนะว่ากลัวจะไปไม่รอด ไหนๆก็ไหนๆลงสู่สนามแล้วก็สู้ซิ(ว่ะ)..ที่ไหนมีข้อมูลที่น่าสนใจเป็นอันต้องขวนขวายหามา คิดสรรเรื่องราวที่จะทำให้หน้าเวบเป็นที่น่าสนใจที่อยากเข้ามาเปิดอ่าน..ที่สำคัญหน้าตาของเวบมันต้องเป็นที่น่าสนใจด้วย..ตรงนี่นี่แหละผมให้ความสำคัญมากเป็นอันดับต้นๆเลยทีเดียวละ...ครั้งแรกที่อัพหน้าโฮมเพจขึ้นไป ตอนนั้นผมว่ามันดีแล้วนะ..เวลาผ่านไป พอมีเวลาว่างก็มานั่งพิจารณาดูไปดูมา...มันก็ดูตลกๆดี...แต่เอาเถอะทำได้ขนาดนั้นก็ดีแล้ว...ที่สำคัญในใจแอบเสื้อคับเล็กๆ..เราเป็นเจ้าของเวบไซต์แล้ววว...
ทุกวันหลังจากมีเวลาว่างก็มานั่งโปรโมทเวบของตัวเองตามเวบบอร์ดต่างๆ เอาเท่าที่จะทำได้...จำนวนผู้เปิดเข้ามาชมก็เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ถึงแม้มันจะไม่หวือหวาในเรื่องสถิติผู้เข้าชมมากนักแต่ก็โอเคนะ(คิดเข้าข้างตัวเอง) โทรศัพท์ที่มีเข้ามาพูดคุยสอบถามก็เริ่มจากสายสองสายก็กลายเป็นหนาแน่นขึ้น มิตรภาพและสิ่งดีๆก็เข้ามาประสบการณ์จากการพูดคุยกับลูกค้าทำให้เราได้เรียนรู้ ลูกค้าหลายๆประเภทส่วนใหญ่ล้วนเป็นไปในทางที่ดี จากการปิดการขายไม่ค่อยเป็นทำให้พัฒนาการเป็นไปอย่างรวดเร็ว...สามารถปิดการขายได้ ออร์เดอร์ก็มีเข้ามาทุกวัน...
ก้าวแรกของการเดินสู่ถนนสายอีคอมเมิร์ชผมยอมรับนะครับว่ามันน่าสนุกมาก มีรายได้เข้ามาไม่เลวเลย ทุกวันหลังจากจัดการอาหารมื้อเย็น ผมก็จะหาโอกาสนั่งหน้าจอ ผมทำอย่างนี้ทุกวันยกเว้นถ้าไม่ติดภาระกิจอะไรเสียก่อน
ครั้งหนึ่งผมเคยได้เข้าอบรมทางวิชาการ เกี่ยวกับเรื่องอะไรสักอย่างผมจำไม่ได้ในส่วนของหัวข้ออบรมอย่าไปสนใจมันเลย แต่ที่ผมประทับใจมาก มีวิยาการท่านหนึ่งพูดดีมาก เขาบรรยายว่า ชีวิตคนเราไม่ควรยืนเหมือนกระต่ายขาเดียว ตอนแรกผมฟังไม่เข้าใจ แต่พอวิทยากรท่านนี้บรรยายต่อ..ว่า..หากยืนเหมือนกระต่ายขาเดียวมันจะทำให้ชีวิตเราค่อนข้างเสี่ยงต่อความมั่นคงในชีวิตและความเป็นอยู่สูง หากแต่เราสามารถยืนแบบกระต่ายสองขา กระต่ายสามขา กระต่ายสี่ขาชีวิตความเป็นอยู่จะมั่นคง ยิ่งเรายืนแบบกระต่ายมากขาเราก็จะมั่นคงมากขึ้นเป็นทวีคูณ
พอบรรยายจบคนอื่นไม่รู้จะคิดแบบผมหรือไม่ผมไม่รู้ แต่ผมกลับมานั่งทบทวนจากคำพูดนั่น ผมมองเห็นความจริงที่ปรากฏชักเจนมาก ยิ่งผมมาทำอีคอมเมิร์ชเป็นอาชีพเสริม ผมเลยได้คำตอบที่ชัดเจนมากถึงมากที่สุด
มนุษย์ทุกคนมีเวลาในหนึ่งชัวโมงเท่ากันมียี่สิบสี่ชั่วโมงเท่ากัน ทุกคนมีเวลาหนึ่งวัน หนึ่งสัปดาห์เท่ากัน ทุกคนมีหนึ่งปีเท่ากัน แต่ทุกคนมีเวลาแห่งชีวิตไม่เท่ากัน บางคนมีมาก บางคนมีน้อย ขึ้นอยู่กับต้นทุนแห่งบุญกรรมว่าจะมากหรือน้อยไม่เท่ากัน........แต่คุณเชื่อไหม? ทุกคนสามารถทำเวลาให้มีค่าได้ไม่เท่ากัน สำหรับผมหนึ่งวันยี่สิบสี่ชัวโมงมีค่ามาก ทำอย่างไรจะเพิ่มมูลค่าเวลาให้ได้มากที่สุด
บนถนนอีคอมเมิร์ชทำให้ผมได้คำตอบอะไรต่อมิอะไรเยอะมาก ก้าวแรกของการเดินบนถนนสายนี้น่าสนุกมาก ทั้งที่รู้ว่าระยะทางมันยาวไกลเหลือเกิน ผมสัญญากับตัวเองว่าผมจะก้าวเดนทางไปให้ดีที่สุด กับบทบาทของคนส่งต้นไม้จากเวบโวต์ http://www.takuyak.com
บทที่5
สู่การจัดการที่เป็นระบบ
วันที่ผมเริ่มต้นกับการค้าขายต้นไม้ ผมยอมรับเลยว่าผมยังไม่รู้เลยว่าจะทำได้ดีเพียงใด..ไม่ได้คิดและคาดหวังอะไรมาก..นอกจาก..."เงิน". แต่นั้นมันเป็นเรื่องที่ผมคิดผิดเป็นอย่างมาก สิ่งที่ผมพบ "เงิน"มันไม่ใช่คำตอบสุดท้าย . มันกลับมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นคำตอบที่มาพร้อมกับโจทย์ที่เราต้องตอบมันให้ได้.มันมีทุกวัน แต่สิ่งนั้น ณ วันนี้ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเลยมันเป็นสิ่งที่ดีและคุ้มค่ามาก.คำตอบที่ได้ทุกคำตอบมันคล้ายตัวจิกซอว์ ของภาพเขียนที่สวยงาม โดยที่เราคิดไม่ถึง..ระบบการจัดการที่เป็นไปโดยธรรมชาติ.มันสอนเราจากประสพการณ์การขาย การสนทนากับเกษตรกร กับลูกค้า การตอบโจทย์และการแก้ปัญหา มันทำให้ผมค้นพบระบบการจัดการที่ผมไม่เคยเจอ(ผมไม่เคยเรียนบริหารธุรกิจ)
ลูกค้าผมมีทั่วประเทศ หลายครั้งผมพลาดโอกาส ทั้งที่ผมปิดการขายได้สำเร็จ เหตุผลหรือครับ..ณ วันนั้นผมจะขายพันธุ์ไม้ได้เฉพาะในเขตจังหวัดที่ผมอาศัยอยู่เท่านั้น แต่ถ้าหากมีลูกค้าที่อยูไกลผมจะไม่สามารถจัดส่งของไปยังลูกค้าได้เลย ในช่วงเวลานั้นผมก็จะทำได้เพียงการจัดส่งเมล็ดพันธุ์เท่านั้น นับว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
ลูกค้าต้องการต้นพันธุ์ไม้ไปปลูกในเขตห่างไกลจากพิษณุโลกผมเสร็จลูกเดียว จบเห่ กันเลยล่ะ ครั้นจะเช่ารถไปส่งก็ค่าเหมารถขนส่งกินหมด กำไรที่คิดไว้ไม่เหลือ หรือถ้าเหลือก็น้อยมาก ค่าเหนื่อยไม่คุ้มเลย ครั้นจะไปชาร์ตเอาด้วยการเพิ่มราคาต้นกล้าพันธุ์ไม้ ผมคิดว่ามันไม่แฟร์เลยเอาเปรียบลูกค้าเกินไปครั้นจะไปส่งเองโดยเอารถที่บ้านไป พอหันหน้ามามองรถยนต์ของตัวเองแล้วปลง มันจะไปรอดไหมเนี่ย ที่สำคัญคุณป้าคันเก่งที่มีก็ดันเป็นรถเก๋งซะอีก (เศร้า)
มีอยู่เคส นึง.ลูกค้ามาจากมหาสารคามต้องการต้นตะกู7500ต้นเจรจาการขายทางโทรศัพไม่นานปิดการขายได้โดยได้ทางออกว่าลูกค้าจะเอารถมาใส่ต้นไม้เอง. นัดวันวอ เวลานอกันเป็นที่เรียบร้อย ลูกค้าออกเดินทางมาจากมหามารคาท นัดเจอกันที่พิษณุโลกเวลา7โมงเช้า ผมจัดแจงเตรียมตัวที่จะต้อนรับลูกค้าด้วยความตื่นเต้น (เคสใหญ่หลักพันต้นเป็นครั้งแรก) ตื่นเต้นมากครับโทรนัดแนะกันเป็นที่เรียบร้อย คุณรู้ไหมเกิดอะไรขึ้นกับผม "คุณป้าคันเก่งเกเรครับ"แกเล่นบทไม่อยากติดเอาดื้อๆ ลูกค้าคงรอผมนานพี่แกออกไปหาซื้อที่ไร่คนอื่นซะฉิบ ยอมรับว่าเสียดายมาก ฟาร์มชาวไร่ที่อยู่ก้วนเดียวโทรมาหา เล่าให้ฟังว่า เช้านั้นฟลุ๊กมาก ขายต้นไม้ขาจรได้คั้ง7500ต้น คุณป้านะคุณป้า ไม่เป็นใจเลยยย..
ผมกลับมาบ้านพร้อมคำถามและคำตำหนิตัวเอง เราควรจะมีการจัดการที่เป็นระบบกว่านี้..ซะแล้วแล้วคำตอบที่ต้องตอบให้ได้คิออะไรล่ะ?
บทที่6
บทเรียนแห่งความผิดพลาดมีค่าเสมอ
จากบทที่แล้วจะเป็นเรื่องของบททดสอบกำลังใจและความอดทนในการเดินทางบนถนนคนส่งต้นไม้หรือเปล่า ก็เหลือเดา เพราะจากวันนั้นที่ผิดพลาดมันทำให้ผมต้องหาทางแก้ไข ไม่งั้นจบม้วนเสื่อกลับบ้านแน่ ยอมรับนะครับแรกๆเครียดมาก คิดน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาและความไม่พร้อมของตัวเอง ทั้งที่ทุกอย่างน่าจะออกมาเพอร์เฟคทั้งที่วางแผนการขายกับเคสนั้นไว้เป็นอย่างดี รายได้ที่มองเห็นข้างหน้าเป็นตัวเลขกลมๆน่าสนใจไม่น้อย ดีดลูกคิดรางแก้วไว้เป็นอย่างดี..ทุกวันนี้คิดย้อนเหตุการณ์วันนั้นอีกครั้งมันก็ขำๆดี..ถึงแม้มันเป็นตลกร้ายในช่วงเวลานั้น แต่มันให้อะไรต่อมิอะไรกับผมเยอะเลย สถานการณ์มันสอนผมหลายอย่าง อย่างน้อยมันทำให้ผมได้มาโอกาสทดสอบกำลังใจไปในตัว...
ถามว่าท้อไหม? ยอมรับครับว่าอารมณ์ในช่วงนั้นผมมีบ้างในเรื่องท้อแต่ผมไม่ถอยนะ..ก็ทำไมล่ะ? ผมก้าวขึ้นมาบนถนนสายคนส่งต้นไม้แบบมือเปล่านี่..แล้วจะกลัวอะไร ต้นทุนของผมคือสมองกับสองมือที่มี เราไม่ได้ขาดทุนนี่หนา มือเรายังอยู่ สมองก็ยังอยู่ไม่ได้แหว่งไปไหนเลย เพียงแต่เสียกำลังใจเล็กน้อย กลัวไปทำไมเสียใจไปทำไมเครียดไปทำไม?..คนที่ไม่เคยผิดพลาดคือคนที่ตายไปแล้วเพราะมันทำอะไรไม่ได้
ผมโชคดีอยู่อย่างนึงนะกำลังใจที่ไม่เคยหมดเพราะมีเติมให้ตลอดเวลาคือคนในครอบครัว บางทีผมคิดท้ออยากหยุด..เขาเหล่านั้นก็เอากำลังใจมาเติมให้ มันก็ขับเคลื่อนไปได้อีก คิดให้มันเป็นเรื่องสนุกมันก็สนุกนะ...อย่าไปคิดว่ามันเครียดหากเครียดแล้วแก้ปัญหาได้ก็เครียดไปเถอะ ความเครียดของมนุษย์มันเป็นเหมือนการปิดประตูการแก้ปัญหา มันจะทำให้สุขภาพจิตเราไม่สมบูรณ์พลังแห่งการต่อสู้ของเราจะอ่อนแอ เราจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมแบบเบ็ดเสร็จของปัญหา เราจะก้าวอยู่เหนือปัญหายากมากในที่สุดเราจะแก้ปัญหาไม่ได้เราจะควบคุมมันไม่ได้ที่สุดเราก็จะล้มเหลวในการแก้ปัญหา
ผมรวบรวมปัญหาที่เกิดและความน่าจะเป็นในเรื่องของปัญหา แล้วเอามาสรุปพยายามตีโจทย์ให้แตกมันก็จบ ในเมื่อปัญหามันคืออะไรเราก็คิดแบบกลับด้าน
มันก็แก้ได้ ทำไมล่ะ?
ก็จะอะไรเสียอีกล่ะมันเป็นหลักธรรมชาติง่ายๆ เอามาปรับใช้กับชีวิตก็จะทำให้ชีวิตเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว ธรรมชาติสร้างของทุกสิ่งทุกอย่างอยู่คู่กันเสมอ ไม่งั้นมันไม่สมดุลย์ ตัวอย่างเช่น มีดำก็มีขาว มีดีก็ต้องมีไม่ดี มีบวกก็มีลบ มีสูงก็มีต่ำ มีอ้วนก็ต้องมีผอม มีธรรมะก็มีอธรรม มีจริงก็ต้องมีไม่จริง ปัญหามันอยู่ตรงนี้ เราจับประเด็นให้ได้ ปัญหาเราก็จะแก้ได้
วันนั้นผมไม่มีรถขนต้นไม้ วิธีแก้ก็คือผมต้องมีรถขนต้นไม้ วิธีแก้มีแค่นี้เอง แต่ในรายละเอียดปลีกย่อยมันอยู่ที่วิธีการบริหารจัดการกับปัญหานั้นว่าจะทำอย่างไร
สำหรับผมปัญหามันเกิดจากการขนส่งผมใช้วิธีหาแหล่งต้นไม้ที่มีรถขนส่งให้เรา มันก็แค่นั้นเอง เราหาตลาดเราติดต่อลูกค้าคุณผลิตและจัดส่ง ค่าใช้จ่ายก็บวกไปเหลือกำไรนิดหน่อยเป็นค่าบริหารจัดการของเรายุติธรรมดีลูกค้าได้รับความสะดวก ต้นไม้ก็ถึงมือลูกค้าสะดวก ปลอดภัยที่สำคัญเราได้รับการประกันความเสี่ยง หากเกิดการเสียหายจากการขนส่งโปรดักส์เลือกได้ความสมบูรณ์แบบมีลูกค้าได้ต้นไม้ไม่แพง เราไม่ได้บวกมาก ความพึงพอใจเกิดทุกฝ่ายสมประโยชน์ ธุรกิจเดินไปได้
จะเห็นได้ว่าหากเรามองปัญหาในมุมกลับจาก"ไม่มี"มันคือปัญหา วิธีแก้ก็คือทำให้มัน"มี" เพราะธรรมชาติสร้างความไม่มีคู่กับความมีแล้วใข้วิธีการให้มันถูกต้องปัญหาก็จบ
ผมทำแบบนั้นอยู่ระยะหนึ่งจนกระทั้งเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งรถขนส่งต้นไม้คันแรกของผมก็เกิดขึ้นด้วยความภาคภูมิใจถึงแม้มันไม่ใช่ราคาเรือนล้านแต่มันก็มีค่ามหาศาลมากสำหรับผม เพราะมันคือน้ำพักน้ำแรงของคนส่งต้นไม้ตัวเล็กๆบนโลกที่กว้างใหญ่ ที่พร้อมจะก้าวนำพากล้าพันธุ์ไม้ไปได้ไกลทั่วไทย เพียงคุณบอกมา
บทที่7
การเดินทางมิตรภาพเกิดขึ้นเสมอ
ต้นไม้นับหมื่นนับแสนต้นที่ลูกค้าให้ความไว้วางใจสั่งซื้อเข้ามา คุณเชื่อไหม?ว่า เริ่มต้นจากการเจรจาติดต่อไถ่ถามจากการติดต่อสื่อสารหลายช่องทาง หลายครั้งหลายคราว หลายร้อยหลายพันเรื่องราวที่ได้สนทนากัน สายโทรศัพท์นับหมื่นสาย อีเมล์หลายต่อหลายฉบับ ช่องทางทางโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ที่ติดต่อเข้ามา มันทำให้ผมมีกำลังใจในการที่จะดำเนินเดินทางบนถนนสายต้นไม้ อย่างมั่นใจ ยิ่งนานวันประสบการณ์ก็สั่งสมเพิ่มพูน การเจรจาแต่ละครั้งล้วนเป็นประสบการณ์ที่หาซื้อไม่ได้ในท้องตลาด ซึ่งมันเป็นสิ่งที่มีค่ามาก หากแต่เราต้องเก็บเกี่ยวเอาเอง ลูกค้าก็มีหลากหลายแบบ หลากหลายเรื่องราว ที่สำคัญคือมิตรภาพ ว่ากันว่าการเริ่มต้นบนถนนสายแห่งมิตรภาพต้องก่อกำเหนิดจากการสนทนากันเป็นอันดับแรก อันนี้เป็นความจริง ความอ่อนน้อมถ่อมตนและความจริงใจต่อคู่สนทนาเป็นสิ่งสำคัญ "อย่าตอบว่าได้ถ้าทำไม่ได้" "อย่าตอบว่าใช่หากไม่ใช่" "อย่าตอบว่าดีหากไม่ดี" ที่สำคัญมารยาทในการเจรจาสนทนากับลูกค้าคือการเป็นผู้ฟังที่ดี โดยเฉพาะการก้าวเดินบนถนนสายธุรกิจอีคอมเมิร์ชซึ่งผู้ซื้อกับผู้ขายไม่เคยพบปะเจอะเจอกันมาก่อน สำคัญที่สุดคือความจริงใจ ไม่ใช่ว่าจะตั้งหน้าตั้งตาหาทางปิดการขายเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองแต่ฝ่ายเดียว มีอะไรก็ใส่ๆเข้าไป มันไม่ใช่เลย เราต้องตระหนักที่สุดก็คือผลประโยชน์ของลูกค้า เพราะเขาเข้ามาเพื่อประโยชน์ของเขา ทำอย่างไรให้เขาบรรลุวัตถุประสงค์ที่ได้เข้ามาสนทนากับเรา หากลูกค้าได้รับความพึงพอใจผลประโยชน์มันก็มาถึงเราเองไม่มากก็น้อย อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาโดยธรรมชาติของธุรกิจ
บนถนนของคนส่งต้นไม้นั้นอันดับแรกของการขายได้นั้น เริ่มต้นมาจากความพึงพอใจของลูกค้า บ่อยครั้งที่การปิดการขายสำเร็จส่วนใหญ่มักมาจากความห่วงใยซึ่งกันและกันมากกว่า ผมมักจะบอกกับลูกค้าว่าในการตัดสินใจที่จะซื้อต้นไม้จากผมนั้นจะต้องสรุปการตัดสินใจให้ดีที่สุด ผมมักจะถามลูกค้าบ่อยครั้งว่าจุดประสงค์หลักที่จะปลูกต้นไม้นั้นเพื่ออะไร "เพื่อสาธารณะ?" "เพื่อการพาณิชย์?"" เพื่อลดโลกร้อน?"หรือแม้กระทั้งเพื่ออุดมการณ์ คืออะไร เพราะลูกค้าแต่ละกลุ่มมีแนวคิดคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน ส่วนใหญ่จะปลูกในเชิงพาณิชย์ แต่การตัดสินใจทางความคิดแล้วเข้ามาติดต่อเรา ของเขาเหล่านั้นมักจะพกความตั้งใจมาสูงมาก แต่เมื่อมาต่อยอดทางความคิดหลังจากที่ได้สนทนากันนั้นจึงมักจะเป็นบวกมากกว่าลบร้อยทั้งร้อย คำถามที่ผมพบและเจอบ่อยที่สุดคือปลูกต้นไม้แล้วได้ผลประโยชน์อย่างไร ? จริงครับคงไม่มีใครหรอกที่ทำอะไรลงไปแล้วไม่หวังผลประโยชน์ สำคัญแต่จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง
คำว่า"ต้นไม้"ใครเลยจะคิดว่ามันจะยังประโยชน์แก่ผู้อุ้มชูเลี้ยงดูปลูกได้มหาศาลมาก ทั้งทางตรงและทางอ้อมหากแต่เราดำเนินการไปบนเส้นทางของความเหมาะสมผมของมันจะเกิดขึ้นได้อย่าอัศจรรย์ บ่อยครั้งผมมักจะบอกกับลูกค้าว่า การปลูกต้นไม้ในเชิงพาณิชย์นั้นหากตัดสินใจผิด สิงที่เสียไปแล้วเอากลับมาไม่ได้เลยคือเรื่องของ"เวลา" เวลาในชีวิตของคนเรานั้นมีน้อยมาก หากเสี้ยวหนึงของชีวิตมันหายไปกับการตัดสินใจที่ผิดพลาด มันเอากลับมาไม่ได้ และมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัย เสียเงินเรายังหากลับมาใหม่ได้ โดยเฉพาะต้นไม้เราต้องใช้เวลานับสิบปีหรือหลายสิบปี หากตัดสินใจผิดพลาดเวลาที่หายไปของชีวิตมันไม่น้อยเลยที่เราต้องเสียไปแล้วเอากลับมาไม่ได้ เช่นหากตัดสินใจปลูกต้นสัก20ไร่ ตั้งความหวังและผลประโยชน์ไว้อย่างดีครั้นเวลาผ่านไปสัก10ปีถูกน้ำท่วมตายหมด มันคุ้มไหมกับเวลาที่เสียไป หรือปลูกลงไปแล้วขาดการวางแผนการบริหารจัดการไม่ดี เช่นไม่ได้นำไปขึ้นทะเบียนเป็นสวนป่าเอกชน หรือนำไปจดทะเบียนใบ ส.ป.3 พอต้นไม้โตตัดไม่ได้ จะขายก็ถูกกดราคา จะตัด ชักลาก แปรูปก็ไม่ได้ นั่นก็เป็นเรีองที่น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง เสียใจ เสียเงินพอทำเนา "เสียเวลา"นี่แหละถือว่าเสียหายมากที่สุด เป็นต้น
"มิตรภาพและความจริงใจ"ต่อลูกค้าจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดบนถนนสายนี้ ถนนสายอีคอมเมิร์ช ถนนของคนส่งต้นไม้ ผมตระหนักดีว่าหากเราให้ความจริงใจและมิตรภาพที่ดีกับเขา ในไม่ช้าเราก็จะได้มิตรภาพและความจริงใจกลับมาในไม่ช้า ถึงแม้เราจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนและเราก็ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาซึ่งกันและกันเลย แต่หากเรามีความจริงใจ ซื่อสัตย์ในการให้บริการ อ่อนน้อมถ่อมตน มิตรภาพระหว่างกันก็จะเกิดได้ตลอดเวลาบนถนนสาย นี้
บทที่8
บนถนนสายนี้มีเรื่องราว 1
การเดินทางที่ยาวไกล จากจุดเริ่มต้นที่ความต้องการต้นไม้ จากความตั้งใจและความเชื่อมั่น ที่จะปลูกต้นไม้ ไม่ว่าจะมีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร ของลูกค้า นั้นคือจุดเริ่มต้นออกเดินทางอย่างแท้จริงของคนส่งต้นไม้ บางครั้งต้องอาศัยความอดทนอย่างสูงที่จะต้องปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จลุล่วง ลูกค้าแต่ละคนจะมีความหลากหลายทางความคิด หลากหลายสาระองค์ประกอบ ในการที่จะทำภารกิจบรรลุผลสำเร็จ บนพื้นฐานและบทสรุปเดียวกัน คือต้องการที่จะได้ต้นไม้ไปปลูกตามความต้องการของตัวเอง
การเดินทางบางครั้งยากเย็นแสนเข็นทุลักทุเล บางจุดก็สุ่มเสี่ยงในเรื่องของอันตราย หลากหลายรูปแบบ ผมกล้าที่จะพูดได้เต็มปากได้เลยว่าน้อยครั้งที่จะมีการจัดส่งต้นกล้าพันธุ์ไม้ในเมือง ภภาระกิจที่ได้รับส่วนใหญ่จะเป็นทุ่งนา ป่าเขา ลำเนาไพร มีทั้งใกล้ มีทั้งไกลและทุรกันดาร แต่มันก็ท้าทายดีนะครับ มีบางครั้งที่รถส่งต้นไม้ของเราเกือบตกเหว ครั้งนั้นผมจำได้ดี วันนั้นเรามีภาระกิจที่จะต้องนำต้นกล้าพันธุ์ไม้ในจำนวนประมาณเกือบ5000ต้นออกเดินทางจากแปลงเพาะที่จังหวัดพิษณุโลกปลายทางเขายายเที่ยงโคราช เราออกเดินทางในช่วงพลบค่ำ มีผู้ร่วมทางไปด้วยกัน3คน พี่หน่อง แฟนผมและตัวผมเอง เราใช้เส้นทางไปตามถนนสายพิษณุโลกตัดเขาลำนารายณ์ออกปากช่องเข้าสู่เขายายเที่ยง ช่วงที่เขาสู่เขายายเที่ยงก็เป็นเวลาเช้าพอดี เราประสานลูกค้าที่จะเดินทางทางพบเราในจุดนัดพบเป็นระยะๆ
และก่อนที่ลูกค้าจะเดินทางมาถึงเราจัดการภาระกิจประจำตัวเหมือนทุกเช้า และรวมถึงอาหารเช้า จนกระทั้งเวลาประมา9โมงเช้าเรากได้พบกับลูกค้าทีจะนำทางเราขึ้นเขายายเทียง ลูกค้ารายนี้เป็นเด็กหนุ่ม ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งที่มีอายุยังน้อย ไม่ถึงสามสิบปี ประกอบอาชีพรับเหมา ยังโสด แต่จากการพูดคุยทักทายหลังจากได้พบกันครั้งแรก มันทำให้ผมรู้สึกว่าลูกค้ารายนี้ไม่ธรรมดาเลย ความคิด วิสัยทัศน์ มุมมองเรื่องการใช้ชีวิตละเอียดอ่อนมาก เรียกว่าไม่ธรรมดา เราท่กทายกันพอประมาณ ลูกค้าก็นำทางเราออกเดินทาง ไปยังจุดที่จะนำกล้าพันธุ์ไม้ไปปลูก
รถของผมและลูกค้าวิ่งตามกันไปตามถนนที่เป็นทางลาดยางสายเล็กคดเคี้ยวลัดเลาไปบนเนินสลับก้บการผ่านป่ายูคาลิปตัสและสวนผลไม้ของชาวบ้าน รีสอร์ท เราขับรถผ่านเป็นระยะ มีทั้งสร้างนานแล้วและ กำลังสร้าง ในขณะเดียวกันเราก็สามารถมองเห็นกังหันลมขนาดใหญ่ ผนวกกับทัศนียภาพบนเขายายเที่ยงที่สวยงาม ผมคิดว่าไหนๆก็มาแล้วเอาเป็นว่าตอนกลับต้องเก็บภาพความทรงจำเอาไว้ อากาศที่นี่ดีมากครับ ตามแนวเขาและเนินรีสอาทหรูถูดตกแต่งแลนด์เสคปไว้กันอย่างสวยงาม
รถของเราวิ่งผ่านไปเรื่อยๆ หลายกิโลเมตร จนกระทั้งพ้นจากทางลาดยางก็เป็นทางที่เป็นดินสลับหิน ขรุขระ โยกเยก คดเคี้ยว เล่นเอาหัวสั่นหัวคลอนเลยล่ะ พวกเราในรถเริ่มมองหน้ากัน แต่ไม่ได้พูดอะไรกัน ดูจาสีหน้าแล้วคงมีคำถามเดียวกัน "เมื่อไรจะถึงว่ะ" ประมาณเกือบสิบกิโลเมตร เราก็มาถึงจุดที่คิดว่าเป็นจุดที่ เราต้องพบกับความตื่นเต็นที่สุดทริปหนึ่งเลยล่ะ
เบื้องหน้าของเราเป็นเนินที่เรามองเห็นและประเมินจากสายตา เป็นเนินที่มีการลาดทำเป็นพื้นซีเมนต์ไปตามแนวเนินที่คดไปมา ลูกค้าจอดรถ เราจอดรถ
ลูกค้าลงมาถามว่า "ไหวไหมครับพี่" ผมตอบ"พอไหวครับ" "ด้านหน้าเป็นเนินลาดชันมากนะครับ"ลูกค้าบอก"ด้วยความที่แดดเริ่มร้อนมากแล้ว คนที่มาด้วยก็บอกกับผมให้รีบเดินทางต่อเถอะ ผมเลยบอกกับลูกค้าว่าไปได้ไม่ต้องห่วง
ในใจของผมมองเนินที่จะต้องขึ้นไป และต้นไม้ที่อยู่ในรถ ผนวกกับประเมินกำลังรถ สบายมากเนินแค่นี้ อัดเต็มกำลังปล่อยให้สุดๆ เดี๋ยวก็ถึง ผมมารู้ตัวว่าผมคิดผิดแล้วก็ต่อเมื่อ ผมปล่อยให้ลูกค้าทิ้งช่วงไปสักระยะแล้วผมก็เร่งเครื่องเต็มที่ไล่เกียร์รถจากสูงไปจนกระทั้งเป็นเกียร์ต่ำสุดคือเกียร์หนึ่งบนทางที่ลาดชันและคดเคี้ยวไปมาอย่างมาก ที่กลางระยะทางที่ยังไม่ถึงปลายเนิน
โอ้วพระเจ้า เกียร์ที่ต่ำสุดไม่สามารถพารถไปถึงปลายเนิน ไม่มีเกียร์เทวดาที่ไหนที่จะทำให้รถขึ้นไปได้แล้ว ยิ่งมองข้างทาง ยิ่งทำให้ใจแทบวาย มันเป็นเหว ลึกมาก ความลึกคงทำให้อะไรที่หล่นลงไปแหลกแน่ๆ ครั้นจะไปต่อรถก็หมดกำลังส่ง กำลังเครื่องแล้ว ตายละ "เกียร์หมดแล้ว"ผมอุทานอย่างตกใจ คนในรถพากกันตกใจ "พี่หน่อง"ที่นั่งข้างผมซึ่งเป็นคนขับบอกให้เหยียบเบรคให้รถอยู่นิ่งๆ อย่าขยับ แกเปิดประตูกระโดลงไปดู พร้อมกับตะโกนบอกมาว่า ตอนนี้ล้อหน้าเกือบไม่ได้แตะพื้น ที่รถตั้งอยู่ได้เพราะกันชนหลังมันค้ำและยันกับพื้นถนน รถที่บรรทุกต้นกล้าพันธุ์ไม้มาน้ำหนักตอนนี้มันอยู่ที่หลังรถเกือบทั้งหมด แฟนผมที่นั่งอยู่ในแค๊ปหลังคนขับตกใจอย่างมาก ตอนนี้สติคงกระเจิดกระเจิงแล้ว
ในเสี้ยววินาที่แห่งความเป็นความตายนั้น พี่หน่องซึ่งแกชำนาญรถกว่าผม รีบตะโกนบอกมา "ใส่เกียร์ถอยหลังเอาไว้ก่อน เร็ว""ตั้งสติไว้ด้วย" ผมรับคำทันที วินาทีนั้นไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว ผมใส่เกียร์ถอยหลังค้างเอาไว้แต่ก็เหยียบเบรคไว้ด้วยเช่นกัน
หัวรถเริ่มสายไปเล็กน้อย ผมหน้าซีดเผือด เหงื่อกาฬไม่รู้มาจากไหน ออกมาเป็นเม็ดๆเลยทีเดียว "สติ" ผมนึกในใจ พี่หน่องมาที่ข้างรถ บอกให้ผมค่อยๆปล่อยเบรคช้า มองกระจกดูทางด้านหลัง ค่อยๆขยันถอยลงเนินไปทีละนิด ทีละนิดผ่านจุดคดเคี้ยวที่เราขึ้นผ่านมาเมื่อครู่
เราค่อยปล่อยรถลงเนินโดยใช้เวลามากพอสมควร ในที่สุดเราก็ถอยกลับมา จนกระทั้งถึงจุดที่เป็นลานขนาดย่อม ที่เราคิดว่าคงจะเป็นที่พักรถก่อนขึ้นสู่ยอดเนินที่เรากำลังจะขึ้นไป และเพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่ระทึกเมื่อครู่นี้ เวลาผ่านไปสักพักนึง ลูกค้าคงเห็นผิดสังเกต จึงย้อนรถกลับมาหาเรา เหตุที่ไม่สามารถบอกหรือแจ้งเหตุกับลูกค้าได้เนื่องจาก จุดที่เรากำลังเดินทางไปนั้นสัญญาณโทรศัพท์ไม่มีโดยสิ้นเชิง
เราตัดสินใจใช้วิธีแบ่งถ่ายกล้าพันธุ์ไม้บางส่วนขึ้นรถของลูกค้าไปบ้างทำให้น้ำหนักของการบรรทุกลดลง และเราก็เดินทางขึ้นสู่ยอดเนินเขาอีกครั้ง และออกเดินทางต่อไปจนถึงจุดที่ถูกกำหนดให้เป็นที่ลงกล้าพันธุ์ไม้ที่เรานำขึ้นรถเดินทางมาหลายร้อยกิโลเมตร เป็นผลสำเร็จ
ก่อนกลับ มิใยที่เราจะได้บอกกล่าวร่ำลาลูกค้าหนุ่มไฟแรง และบรรดาลูกๆ (กล้าพันธุ์ไม้) ว่าพ่อมาส่งถึงที่อยู่ใหม่แล้ว ดูแลตัวเองให้ดีๆนะ
ทริปนี้เราเดินทางกลับลงมาอีกครั้งถึงปากช่องก็ค่ำพอดีจัดการอาหารเย็นแล้วก็เดินทางย้อนเส้นทางเดิม ถึงฟาร์มต้นไม้ที่พิษณุโลกโดยสวัสดิภาพ
บทที่9
บนถนนสายนี้มีเรื่องราว2
หลากหลายเรื่องราวที่พานพบ จากการเดินทางของคนส่งกล้าพันธุ์ไม้ ล้วนแต่มิตรภาพที่หอมหวลและสดชื่น มาจากการที่มีเป้าประสงค์และจุดประสงค์ที่ไม่แตกต่างกันนั้นมาจากการคืนความเขียว คืนผืนป่าสู่แผ่นดินไทย บางที่เราต้องบุกป่าผ่าดง ลุยน้ำ ขึ้นเขาที่สูงชัน เรียกว่าถ้าหากจุดพิกัดการจัดส่งไหนที่เราไปส่งได้เราเดินทางไปร่วมคืนผืนป่าสู่แผ่นดินไทยให้ทันที
มีหลายคราวที่เราต้องเดินทางไปจัดส่งในเขตที่อันตรายมากๆเช่นในเขต3 จังหวัดชายแดนใต้ เจอเรื่องราวที่ตื่นเต้นเร้าใจแทบนั่งไม่ติดกันเลยทีเดียว ทั้งคนขับรถคนลงต้นไม้ รวมทั้งคนที่รอคอยอยูทางบ้านที่หางกันนับพันกิโลเมตร ทางกลางสถานการณ์อันร้อนระอุดังที่เราๆท่านได้รู้และทราบข่าวจากการนำเสนอทางสื่อต่างๆนั้นแหละ มันชัดเจนมาก บางครั้งเราต้องผ่านเส้นทางที่เกิดเหตุระเบิดและการก่อวินาศกรรมแบบสดๆร้อนๆ ส่วนคนที่รอคอยอยู่ทางบ้าน เล่นเอาเป็นว่ากินไม่ได้นอนไม่หลับกันเลยทีเดียว ครั้นจะติดต่อทางโทรศัพท์ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะในพื้นที่จะมีการตัดสัญญาณโทรศัพท์ และการออกกฏว่าให้ใช้ซิมการ์ดที่ลงทะเบียนเท่านั้นจึงจะใช้งานได้ โดยในสมัยนั้นไม่ได้มีมาตรการบังคับว่าจะต้องลงทะเบียนเหมือนในปัจจุบัน พอเข้าไปในพื้นที่สีแดง โทรศัพท์มือถือเรียกว่าขาดการติดต่อกันไปเลย จนกว่ารถส่งกล้าพันธุ์ไม้จะออกมาจากพื้นที่ เรียกว่าเครียดกันไปหมด
การเข้าไปในพื้นที่ที่กำลังร้อนระอุด้วยความไม่เข้าใจกันในเรื่องของอุดมการณ์ เราจึงจำเป็นที่จะต้องอาศัย เจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่อยูในพื้นที่คอยอำนวยความสะดวกให้ แต่บางเคส เราจำเป็นที่จะต้องเข้าไปด้วยภารกิจที่ไม่มีการร้องขอเจ้าหน้าที่ล่วงหน้าจึงต้องมีการวัดดวง และเป็นการเสี่ยงอยู่มากพอสมควร
บางทีเราเคยมานั่งคิด หลังจากภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ว่าการเสี่ยงแบบนี้มันไม่คุ้มด้วยประการทั้งปวง มันช่างบีบหัวใจเหลือเกิน เลยเราต้องออกกฏมาว่าเราจะหลีกเลี่ยงการเดินทางในลักษณะสุ่ม เสี่ยงแบบนี้อีก โดยจะลงลึกไปไกลสุดแค่แยกนาหม่อม หาดใหญ๋เท่านั้นและจะนัดลูกค้ามารัของเอง
การทำงานของคนส่งต้นไม้ ยอมรับจริงๆ ว่าเหนื่อยมาก แต่สนุก ซึ่งไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยสักเพียงใด อันตรายแค่ไหน ไม่ว่าจะใกล้ไกลแค่ไหนเราจะไปส่งให้ถึงมือและบรรจงวางไว้บนหัวใจของผู้ที่สั่งกล้าไม้ไปปลูกอย่างนิ่มนวลที่สุด เพราะเราเคารพและนับถือหัวใจที่ตั้งใจจะคืนผืนป่าสู่แผ่นดินไทยด้วยที่ดินของตัวเอง